Site icon Thai Green Car : สู่อนาคตรถยนต์ไฟฟ้า Electric Car

อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ ตอนที่ 2

Mayor Boris Johnson driving an electric car into an ASDA car park in Kingston launches 'Source London' the first ever city wide charge point network for electric car drivers ..... Picture with Quentin Wilson

รถ Tesla ที่กำลังท้าทายรถยนต์ชั้นนำยี่ห้ออื่นๆ อยู่ในขณะนี้นั้น ขับเคลื่อนโดยเครื่องไฟฟ้าขนาดไม่ใหญ่กว่ากระเป๋าที่สามารถหิ้วขึ้นห้องโดยสารเครื่องบินมากนัก แต่แบตเตอรี่ที่บรรจุไฟฟ้านั้นมีน้ำหนักมากถึง 500 กิโลกรัม เพื่อให้สามารถบรรจุไฟฟ้าได้ 60 ถึง 80 kWh เพื่อวิ่งได้ 300-350 กม.ต่อการบรรจุไฟหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ประเมินว่าต้นทุนในการผลิตแบตเตอรี่ Lithium ion (Li) ดังกล่าวนั้นประมาณ 250 ดอลลาร์ต่อ 1 kWh กล่าวคือ Li ในรถ Tesla ราคาประมาณ 15,000-20,000 ดอลลาร์ ในขณะที่รถ Tesla Model S นั้นราคาเริ่มต้นประมาณ 70,000 ดอลลาร์ ตรงนี้อาจผิดพลาดไปบ้าง เพราะบริษัทปกปิดข้อมูลตรงนี้ จึงเป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น แต่จะเห็นได้ว่าแบตเตอรี่เป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญมากของรถไฟฟ้า
บทวิเคราะห์ของ CLSA ชื่อว่า Autocalypse เมื่อต้นปีอ้างว่าผู้บริหาร Tesla มั่นใจว่าจะสามารถลดต้นทุนการผลิต Li ลงเหลือ 100 ดอลลาร์ต่อ 1 kWh ภายในปี 2020 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ต้นทุน Li จะลดลงเหลือ 6,000-8,000 ดอลลาร์ต่อรถ 1 คัน ทำให้ราคารถ Tesla Model 3 ที่กำลังจะผลิตออกมาขายในปี 2018 ที่ราคาเริ่มต้น 35,000 ดอลลาร์ จะสามารถปรับลดลงไปอีก 10,000 ดอลลาร์ต่อคันภายใน 5 ปีข้างหน้า กล่าวคือเหลือราคาคันละ 875,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของรถยนต์ที่คนอเมริกันซื้อใช้อยู่ในขณะนี้และน่าจะเป็นราคาที่ขายแข่งขันได้ทั่วโลกที่เก็บภาษีสรรพสามิตจากมลพิษของรถยนต์ แต่รถไฟฟ้าจะได้ยกเว้นภาษีดังกล่าวเพราะไม่ก่อให้เกิดมลพิษและในหลายประเทศยังได้รับเงินอุดหนุนหลายพันดอลลาร์ต่อคันอีกด้วย
รถ Tesla จึงอาจสามารถตีตลาดรถยนต์ได้ในทันทีทันใด เพราะรถไฟฟ้านั้นมีข้อได้เปรียบรถยนต์ปัจจุบันอยู่แล้ว คือไม่สร้างมลภาวะและหากราคาถูกกว่ารถยนต์ปัจจุบันก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเลือกใช้รถยนต์ต่อไป เพราะรถไฟฟ้ามีต้นทุนในการบำรุงรักษาต่ำกว่า เนื่องจากมีชิ้นส่วนที่สึกหรอได้เพียง 18-20 ชิ้น เทียบกับรถยนต์ที่มีชิ้นส่วนที่สึกหรอได้ 2,000 ชิ้น ทำให้ Tesla สามารถประกันซ่อมฟรีรถไฟฟ้าของตนได้นานถึง 8 ปี โดยไม่จำกัดกิโลเมตรที่วิ่ง เมื่อไม่นานมานี้บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยออกมาคัดค้านการนำรถไฟฟ้ามาใช้ในประเทศไทย หากไม่มีการวางแผนระยะยาวที่ชัดเจน เพราะเกรงว่าหากมีการใช้รถไฟฟ้าอย่างแพร่หลายจะกระทบกับอุตสาหกรรมของตนที่มีการจ้างงานมากกว่า 6 แสนคนและมียอดขายเป็นแสนล้านบาทต่อปี
แม้ว่ารัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้นำรถไฟฟ้ามาใช้ในประเทศไทยอย่างเร่งรีบหรือจำกัดปริมาณนำเข้าเพียง 5,000 คันต่อปี แต่หาก Disruptive Technology นี้ แพร่ขยายอย่างรวดเร็วในต่างประเทศ ก็จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไทยมีกำลังผลิตรถยนต์เกือบ 3 ล้านคัน ปัจจุบันผลิต 2 ล้านคันเพื่อส่งออก 1.2 ล้านคัน และใช้ในประเทศ 8 แสนคัน ทั้งนี้รถไฟฟ้านั้นใช้ชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับโครงสร้างเพื่อขับเคลื่อนรถน้อยมาก เมื่อเทียบกับรถยนต์ปัจจุบัน กล่าวคือรถไฟฟ้าไม่มี
1)หม้อน้ำและระบบทำความเย็นของเครื่องยนต์
2) เกียร์ น้ำมันเกียร์และน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์
3) ระบบท่อไปเสียและระบบจ่ายน้ำมัน
4) เครื่องกรองมลพิษ (catalytic converter)
5) ถังน้ำมัน
6) ระบบจุดระเบิดและแบตเตอรี่เพื่อสตาร์ทรถ
7) ความจำเป็นต้องมีปั๊มน้ำมัน แต่ต้องมีที่บรรจุไฟตามห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาเก็ตและสถานที่ทำงาน เพราะรถไฟฟ้าต้องใช้เวลาบรรจุไฟนานอย่างน้อย 30 นาทีขึ้นไป
บางคนบอกว่าประเทศไทยยังไม่พร้อมที่จะใช้รถไฟฟ้า เพราะแม้ผู้ผลิตจะบอกว่าเครื่องไฟฟ้าขับเคลื่อนรถ Hybrid ปัจจุบันได้ 30-35 กม. ต่อการบรรจุไฟหนึ่งครั้ง แต่เมื่อเจอรถติดอย่างกรุงเทพฯ อาจขับไปได้เพียง 10 กม.ก็ไฟหมดแล้ว ดังนั้นหากเป็นรถไฟฟ้าที่อ้างว่าใช้ได้ 300-350 กม. ก็อาจใช้ได้จริงเพียง 100-150 กม.ก็ได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นก็ยังเพียงพอที่จะใช้ประจำวัน เพราะส่วนใหญ่จะใช้รถไม่เกิน 100 กม.ต่อวันอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญคือรถยนต์นั้นปกติจอด 90% และใช้เพียง 10% ต่อวัน ดังนั้นการบรรจุไฟในช่วงที่เรานั่งทำงานจึงจะมีความสำคัญมาก และน่าจะเป็นการลงทุนที่ไม่สูงมากนักและเป็นการลงทุนที่ถูกกว่าการสร้างสถานีบริการน้ำมันอย่างแน่นอน (กล่าวคือหากมีการใช้รถไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย ปั๊มน้ำมันก็คงต้องปิดตัวลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้)
ครั้งหน้าผมจะเขียนต่อว่าแบตเตอรี่นั้นอาจเป็น Disruptive Technology ที่กระทบต่อภาคอื่นๆ ของเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของเราอย่างกว้างขวางใน 20-30 ปีข้างหน้า และจะเป็นการตอบคำถามอีกด้วยว่ารถไฟฟ้าจะเอาไฟฟ้าจากที่ใดมาใช้ครับ

ขอขอบคุณบทความจาก : http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/638460

เขียนโดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ความเห็นของคุณ

comments

Exit mobile version